ทำความรู้จักประเภทไม้ สำหรับงานตกแต่งภายใน
ก่อนที่จะไปดูวัสดุไม้แต่ละแบบ มาทำความรู้จักกันก่อนว่าไม้มีกี่ประเภท อะไรบ้าง และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร โดยหลัก ๆ แล้ว วัสดุไม้ที่นิยมใช้ในงานตกแต่งภายในสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ไม้จริง (Solid Wood)
ไม้จริง (Solid Wood) คือไม้ที่มาจากธรรมชาติ 100% ผ่านกระบวนการแปรรูปและอบแห้ง คุณสมบัติเด่นคือความแข็งแรง ทนทาน มีลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถซ่อมแซมขัดผิวใหม่ได้เมื่อเวลาผ่านไป แม้จะมีราคาสูงกว่า แต่ก็ให้ความรู้สึกหรูหรา มีคุณค่า และใช้งานได้ยาวนานกว่า
ตัวอย่างไม้จริงที่นิยมใช้
-
ไม้สัก (Teak Wood)
ไม้สักถือเป็นราชาแห่งไม้ เพราะขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรง ทนทานต่อปลวกและแมลง ทนต่อความชื้นได้ดีเยี่ยม มีลวดลายสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และเมื่อเวลาผ่านไปสีจะเข้มขึ้น ทำให้เป็นจุดเด่นที่หลายคนชื่นชอบ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความคงทนและหรูหรา เช่น พื้นไม้ปาร์เกต์ พื้นไม้รางลิ้น เฟอร์นิเจอร์บิวท์อินระดับพรีเมียม ประตู หรือผนังกรุ
ข้อจำกัด: ราคาค่อนข้างสูง
-
ไม้โอ๊ค (Oak Wood)
มีลวดลายที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ มีสีอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม แข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทกได้ดี นิยมนำเข้าจากต่างประเทศ ให้ความรู้สึกโมเดิร์นและคลาสสิกไปพร้อมกัน เหมาะสำหรับพื้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะอาหาร หรือผนังตกแต่ง
ข้อจำกัด: ราคาสูงกว่าไม้ในประเทศบางชนิด
-
ไม้วอลนัท (Walnut Wood)
เป็นไม้ที่มีความโดดเด่นด้วยสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ลวดลายไม้สวยงาม มีความหรูหรา สง่างาม เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความพรีเมียม เช่น เฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษ ตู้โชว์ หรือโต๊ะทำงาน
ข้อจำกัด: มีราคาสูงมาก
-
ไม้เมเปิล (Maple Wood)
มีสีอ่อนไปจนถึงขาว ลวดลายละเอียดเรียบเนียน ให้ความรู้สึกสะอาดตา สว่าง และโมเดิร์น เหมาะสำหรับเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เคาน์เตอร์ หรือพื้นไม้
-
ไม้แดง / ไม้มะค่า (Red Wood / Makha Wood)
เป็นไม้เนื้อแข็งของไทย มีความทนทานสูง สีเข้มสวยงาม เหมาะสำหรับพื้นไม้ ประตู หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องการความแข็งแรงเป็นพิเศษ
2. ไม้แปรรูป / ไม้สังเคราะห์ (Engineered Wood / Composite Wood)
ไม้แปรรูป หรือไม้สังเคราะห์ คือไม้ที่ผลิตจากชิ้นไม้เล็ก ๆ หรือเส้นใยไม้ นำมาอัดรวมกันด้วยความร้อนและกาว มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกัน นิยมใช้เป็นทางเลือกแทนไม้จริง เนื่องจากมีราคาถูกกว่า ติดตั้งง่ายกว่า และมีคุณสมบัติเฉพาะตัวบางอย่าง
ตัวอย่างไม้แปรรูปที่นิยมใช้
-
ไม้อัด (Plywood)
ทำจากไม้บาง ๆ หลายชั้นมาอัดทับกันเป็นแผ่น มีความแข็งแรงในระดับหนึ่ง ทนทานต่อแรงกระแทก เหมาะสำหรับงานโครงสร้างเฟอร์นิเจอร์ ตู้ ชั้นวาง หรือทำเป็นแผ่นรองสำหรับปูพื้น
-
MDF (Medium-Density Fiberboard)
ทำจากผงไม้บดละเอียดผสมกาวแล้วอัดเป็นแผ่น มีผิวเรียบเนียน เหมาะสำหรับงานพ่นสี หรือปิดผิวด้วยลามิเนต/วีเนียร์ มักใช้ทำบานตู้ บานลิ้นชัก หรือผนังตกแต่ง
ข้อจำกัด: ไม่ทนความชื้น ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่โดนน้ำโดยตรง เช่น งานผนังบิ้วอิน หรือเฟอร์นิเจอร์ในห้องน้ำ หรือท็อปเคาท์เตอร์ครัว
-
Particle Board (PB)
ทำจากเศษไม้ชิ้นเล็ก ๆ ผสมกาวแล้วอัดเป็นแผ่น ราคาถูกที่สุด ผิวไม่เรียบเท่า MDF มักใช้ทำโครงตู้เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังกั้นห้องชั่วคราว
ข้อจำกัด: ไม่แข็งแรง ไม่ทนความชื้น และไม่ทนแรงกระแทก
-
OSB (Oriented Strand Board)
ทำจากไม้ชิ้นใหญ่ ๆ เรียงตัวสลับทิศทางแล้วอัดเป็นแผ่น มีความแข็งแรง ทนทาน นิยมใช้ในงานโครงสร้าง หรือตกแต่งแนว Industrial ที่โชว์ผิววัสดุ
-
ไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood Flooring)
เป็นไม้ที่มีโครงสร้างเป็นชั้น ๆ โดยชั้นบนสุดเป็นไม้แข็ง (ได้แก่ ไม้โอ๊ค ไม้สัก) และชั้นล่างเป็นไม้อัดหรือไม้เนื้ออ่อนที่มีคุณสมบัติให้ความรู้สึกเหมือนไม้จริง แต่มีราคาถูกกว่าและติดตั้งง่ายกว่า เหมาะสำหรับพื้นบ้านที่ต้องการความสวยงามและทนทาน
-
ไม้ลามิเนต (Laminate Flooring)
ไม่ใช่ไม้จริง แต่เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่ทำเลียนแบบลายไม้ มีหลายสีหลายลาย ติดตั้งง่าย ราคาถูก ไม่ทนความชื้นเท่าที่ควร เหมาะสำหรับพื้นบ้านที่งบประมาณจำกัด และไม่ค่อยโดนน้ำ
เลือกไม้อย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ในการเลือกวัสดุไม้เพื่อนำมาใช้ในงานตกแต่งภายในบ้านนั้น ควรมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อที่จะได้ไม้ที่ให้ทั้งความสวยงามและความแข็งแรงคงทน โดยมีหลักการเลือกวัสดุไม้ ดังนี้
1. พิจารณาพื้นที่ในการใช้งาน
-
ห้องที่โดนความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ, ห้องครัว
ควรเลือกไม้จริงที่ทนความชื้น เช่น ไม้สัก หรือไม้แปรรูปที่มีการป้องกันความชื้นเป็นพิเศษ
อ่านบทความที่น่าสนใจ : 5 เทคนิคออกแบบห้องครัวสวย ๆ ใช้งานได้จริง เพิ่มความสุขในการทำอาหาร
-
พื้นที่ใช้งานหนัก เช่น พื้น, โต๊ะอาหาร
ควรเลือกไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก ไม้โอ๊ค หรือไม้แดง เพราะมีความทนทานต่อรอยขีดข่วนและการกระแทกสูง
อ่านบทความที่น่าสนใจ : แชร์ 8 ฮวงจุ้ยจัดโต๊ะกินข้าวและห้องกินข้าว จัดให้ถูกหลัก ปังแน่นอน!
-
งานตกแต่งที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก เช่น ผนังกรุ, บานตู้
สามารถใช้ไม้แปรรูปประเภท MDF หรือไม้อัดเพื่อประหยัดงบประมาณได้
2. งบประมาณ
ควรกำหนดงบประมาณที่ชัดเจน เพราะไม้จริงมีราคาสูงกว่าไม้แปรรูปมาก หรือเลือกปรึกษานักออกแบบภายในเพื่อหาสมดุลระหว่างความสวยงาม คุณภาพ และงบประมาณ
3. สไตล์การตกแต่ง
เนื่องจากลายไม้และสีของไม้แต่ละชนิดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้การตกแต่งภายในบ้านของคุณตรงใจ และออกมาเป็นในสไตล์ที่ชอบ ควรเลือกให้เข้ากับสไตล์โดยรวมของบ้าน
-
Modern / Minimal
ไม้โอ๊ค ไม้เมเปิล หรือไม้จริงสีอ่อน
อ่านบทความที่น่าสนใจ: รู้จักสไตล์ Modern Minimal เทรนด์ตกแต่งภายในบ้านที่มาแรง สวยงาม เรียบง่าย และทันสมัย
-
Classic / Luxury
ไม้สัก ไม้วอลนัท หรือไม้เนื้อแข็งสีเข้ม
อ่านบทความที่น่าสนใจ: หลักการจัดและตกแต่งบ้านเพื่อสัมผัสความหรูหราสไตล์ Modern Luxury
-
Industrial / Rustic
ไม้เก่าคุณภาพสูง ไม้ที่ไม่ผ่านการขัดสี ขัดผิวเรียบเนียน หรือ OSB
4. การดูแลรักษา
การดูแลรักษาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถนำมาพิจารณาเลือกวัสดุไม้สำหรับการตกแต่งภายในบ้านได้ โดยไม้จริงต้องการการดูแลรักษาที่สม่ำเสมอ เช่น การลงแว็กซ์ หรือการขัดเคลือบผิวใหม่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนไม้แปรรูปบางชนิดอาจดูแลรักษาง่ายกว่า แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องความทนทาน จึงควรเลือกวัสดุไม้ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง หรือหากไม่มีเวลาก็อาจเลือกใช้บริการช่างที่เชี่ยวชาญเพื่อดูแลรักษาคุณภาพไม้แทนได้
หมดกังวลเลือกวัสดุไม้ไม่ถูก ด้วยบริการช่วยเลือกวัสดุตกแต่งภายใน จาก One Nine One Discreet Luxury Interior Design
การเลือกวัสดุไม้ที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญในการสร้างสรรค์พื้นที่ภายในบ้านที่สวยงาม มีคุณภาพ และใช้งานได้ยาวนานอย่างมีความสุข ที่ One Nine One Discreet Luxury Interior Design เรามี บริการช่วยเลือกวัสดุสำหรับตกแต่งภายใน โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากเราจะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกวัสดุไม้ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความสวยงาม ฟังก์ชันการใช้งาน และงบประมาณของคุณได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ เรายังมีบริการออกแบบภายใน และบริการรับเหมาตกแต่งภายใน (Turnkey Interior Design Service) ที่พร้อมดูแลทุกขั้นตอนตั้งแต่การให้คำปรึกษา การเลือกใช้วัสดุ ไปจนถึงการควบคุมงานติดตั้ง เพื่อให้บ้านของคุณเป็นดั่งความฝันที่สมบูรณ์แบบในทุกพื้นที่
ชมผลงานออกแบบตกแต่งภายในของ One Nine One Discreet Luxury Interior Design
หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-430-6789 และแอดไลน์ @1nine1